วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การแยกสารเนื้อเดียวออกจากกันมีหลายวิธี เช่น

1. การระเหยจนแห้ง ใช้ในกรณีที่ตัวถูกละลายเป็นของแข็งและตัวทำละลายเป็นของเหลว หรือของแข็งละลายในของเหลว เช่น เมื่อนำเกลือแกงซึ่งเป็นของแข็งมาละลายในน้ำจะได้ของผสมเนื้อเดียวกัน เรียกว่า สารละลายเกลือแกง ในกรณีที่เราต้องการแยกเกลือแกงและน้ำออกจากสาระลายเกลือแกงทำได้โดยการนำสารดังกล่าวมาให้ความร้อน เพื่อระเหยตัวละลาย ในที่นี้คือน้ำออกไป สิ่งที่เหลืออยู่ในภาชนะคือตัวถูกละลาย ที่เป็นของแข็งในที่นี้คือ เกลือแกง

2. โครมาโตกราฟี (Chromatography) เป็นเทคนิคการแยกสารเนื้อเดียวออกจากกันให้เป็นสารบริสุทธิ์ โดยอาศัยหลักการที่ว่า "สารแต่ละชนิดมีความสามารถในการละลายต่างกัน และถูกดูดซับต่างกัน จึงทำให้สารแต่ละชนิดแยกออกจากกันได้" ดังนั้นการแยกสารด้วยเทคนิคโครมาโตกราฟี จึงต้องอาศัยสมบัติของสารดังนี้

2.1 สารต่างชนิดกันมีความสามารถในการละลายในตัวทำละลายชนิดเดียวกันได้ดี ไม่เท่ากัน สารที่ละลายได้ดีจะเคลื่อนที่ไปได้เร็ว

2.2 สารต่างชนิดกันถูกดูดซับโดยตัวดูดซับได้ดีไม่เท่ากันสารที่ถูกดูดซับได้ดีจะเคลื่อนที่ได้ช้า

2.3 สารที่ละลายในตัวทำละลายได้ดี และถูกดูดซับน้อยจะเคลื่อนที่ได้เร็วไปได้ไกล

2.4 สารที่ละลายในตัวทำละลายได้น้อยและถูกดูดซับมากจะเคลื่อนที่ช้าไปได้ไม่ไกล

ประโยชน์ของโครมาโตกราฟี

1. ใช้ในการแยกสารเนื้อเดียวที่มีส่วนผสมหลาย ๆ ชนิด ให้ได้เป็นสารบริสุทธิ์

2. ใช้ในการวิเคราะห์หาปริมาณและชนิดของสาร

3. ใช้ทดสอบหรือแยกสารตัวอย่างที่มีปริมาณน้อย ๆ ได้

4. ใช้แยกสารได้ทั้งสารที่มีสีและไม่มีสี

3. การกลั่น เป็นกระบวนการที่ทำให้ของเหลวได้รับความร้อนจนกลายเป็นไอ ทำให้แยกตัวทำละลายและตัวถูกละลายที่ต่างก็เป็นของเหลวออกจากกันได้โโยอาศัยความแตกต่างกันของจุดเดือด การกลั่นจะใช้ได้ผลต่อเมื่อตัวทำละลายและตัวถูกละลายเดือดที่อุณหภูมิต่างกันค่อนข้างมาก(ต่างกันอย่างน้อย 20 C) เช่น การแยกน้ำจากน้ำทะเล การแยกน้ำจากน้ำคลอง การแยกน้ำจากน้ำเกลือ หรือน้ำเชื่อม เป็นต้น

4. การตกผลึก เป็นกระบวนการแยกของแข็งที่ละลายในตัวทำละลายที่เป็นของเหลว โดยทำให้สารละลายอิ่มตัวที่อุณหภูมิสูง แล้วปล่อยให้สารละลายเย็นลง ของแข็งจะตกผลึกออกมา
สารเนื้อผสม หมายถึง สารที่มีลักษณะเนื้อสารไม่ผสมกลมกลืนกันเป็นเนื้อเดียวกันเกิดจาก

สารอย่างน้อย 2 ชนิดขึ้นไปมาผสมกันโดยเนื้อสารจะแยกกันเป็นส่วน ๆ

การแยกสารเนื้อผสมอาจใช้วิธีการต่าง ๆ เช่น การกรอง การใช้กรวยแยก การใช้อำนาจแม่เหล็ก การระเหิด การระเหยจนแห้ง ซึ่งเป็นการแยกสารโดยวิธีทางกายภาพทั้งสิ้น สารที่แยกได้จะมีสมบัติเหมือนเดิม

1. การกรอง เป็นวิธีการแยกสารออกจากกันระหว่างของแข็งกับของเหลว หรือใช้แยกสารแขวนลอยออกจากน้ำ ซึ่งใช้กันมากในทางเคมี โดยเฉพาะในห้องปฏิบัติการที่กรองสารในปริมาณน้อย ๆ การกรองนั้นจะต้องเทสารผ่านกระดาษกรอง อนุภาคของแข็งที่ลอดผ่านรูกระดาษกรองไม่ได้จะอยู่บนกระดาษกรอง ส่วนน้ำและสารที่ละลายน้ำได้จะผ่านกระดาษกรองลงสู่ภาชนะ

2. การใช้กรวยแยก เป็นวิธีที่ใช้แยกสารเนื้อผสมที่เป็นของเหลว 2 ชนิดที่ไม่ละลายออกจากกัน โดยของเหลวทั้งสองนั้นแยกเป็นชั้นเห็นได้ชัดเจน เช่น น้ำกับน้ำมัน เป็นต้น การแยกโดยวิธีนี้จะนำของเหลวใส่ในกรวยแยก แล้วไขของเหลวที่อยู่ในชั้นล่างซึ่งมีความหนาแน่นมากกว่าชั้น

บนออกสู่ภาชนะจนหมด แล้วจึงค่อย ๆ ไขของเหลวที่ที่เหลือใส่ภาชนะใหม่

3. การใช้อำนาจแม่เหล็ก เป็นวิธีที่ใช้แยกองค์ประกอบของสารเนื้อผสมซึ่งองค์ประกอบหนึ่งมีสมบัติในการถูกแม่เหล็กดูดได้ เช่น ของผสมระหว่างผงเหล็กกับผงกำมะถัน โดยใช้แม่เหล็กถูไปมาบนแผ่นกระดาษที่วางทับของผสมทั้งสอง แม่เหล็กจะดูดผงเหล็กแยกออกมา

4. การระเหิด คือ ปรากฏการณ์ที่สารเปลี่ยนสถานะจากของแข็งกลายเป็นก๊าซหรือไอโดยไม่เปลี่ยนสถานะเป็นของเหลวก่อน ใช้แยกสารเนื้อผสมที่เป็นของแข็งออกจากกัน โดยของแข็งชนิดหนึ่งมีสมบัติระเหิดได้ เช่น ลูกเหม็น พิมเสน น้ำแข็งแห้ง การบูรกับเกลือแกง เมื่อให้ความร้อนการบูรจะกลายเป็นไอแยกออกจากเกลือแกง ดักไอของการบูรด้วยภาชนะที่เย็นจะได้การบูรเป็นของแข็งแยกออกมา

5. การใช้มือหยิบออกหรือเขี่ยออก ใช้แยกของผสมเนื้อผสม ที่ของผสมมีขนาดโตพอที่

จะหยิบออกหรือเขี่ยออกได้ เช่น ข้าวสารที่มีเมล็ดข้าวเปลือกปนอยู่

6. การตกตะกอน ใช้แยกของผสมเนืท้อผสมที่เป็นของแข็งแขวนลอยอยู่ในของเหลว ทำได้โดยนำของผสมนั้นวางทิ้งไว้ให้สารแขวนลอยค่อย ๆ ตกตะกอนนอนก้น ในกรณีที่ตะกอนเบามากถ้าต้องการให้ตกตะกอนเร็วขึ้นอาจทำได้โดย ใช้สารตัวกลางให้อนุภาคของตะกอนมาเกาะ เมื่อมีมวลมากขึ้น น้ำหนักจะมากขึ้นจะตกตะกอนได้เร็วขึ้น เช่น ใช้สารส้มแกว่ง อนุภาคของสารส้มจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้โมเลกุลของสารที่ต้องการตกตะกอนมาเกาะ ตะกอนจะตกเร็วขึ้น

วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การแยกสาร

การแยกสาร

 
1. การกรอง (filtration)  เป็นการแยกสารที่มีอนุภาคต่างกััน โดยตัวถูกทำละลายไม่ละลายในตัวทำละลายและมีขนาดของวัตถุใหญ่การวัตถุที่ใช้กรอง เช่น ผงถ่านกับน้ำ ทรายกับน้ำ

              2.การตกผลึก (crystallization) เป็นการแยกตัวละลายออกจากสารละลายอิ่มตัวที่อุณภูมิสูง สารละลายอิ่มตัว คือ สารละลายที่มีตัวละลายอยู่ปริมาณมากจนไม่สามารถละลายได้อีก ณ อุณหภูมิหนึ่ง เช่น สารส้ม เกลือแกง กำมะถัน จุนสี

      3. การกลั่นแบบธรรมดา เป็นวิธีการแยกสารที่มีอุณภูมต่างกันมาก เช่น หินปูนกับน้ำ เกลือกันน้ำ 

               4. การกลั่่นแยกลำดับส่วน (fractional distillation) เป็นการแยกสารละลายที่่มีอุณหภูมิใกล้เคียงกัน เช่น น้ำมันดิบ
  
              
               5. การสกัดโดยการกลั่นด้วยไอน้ำ (steam distillation) นิยมใช้สกัดน้ำมันหอมระเหยออกจากส่วนต่างๆของพืช สารที่ต้องการแยกต้องไม่ละลายน้ำ ระเหยง่าย มีจุดเดือดต่ำ เช่นผิวมะกรูด ใบยูคาลิปตัส


                 6.การสกัดด้วยตัวทำละลาย (solvent extraction) เป็นการแยกสารที่ต้องการออกจากส่วนต่างๆของพืช เช่น ถั่วเหลือง ปาล์ม ถั่งลิสง เป็นต้น

                 7. การแยกสารโดยวิธีโครมาโทกราฟี (chromatography) นิยมใช้แยกสารที่มีปริมาณน้อย สารที่ละลายได้ดีจะถูกดูดซับน้อยและเคลื่อนที่ไปได้ไกล เช่น สารที่มีสีผสมอยู่    โดยจะมีค่า Rf ไม่เกิน 1



               การแยกสารโดยวิธีการอย่างง่าย มีหลายวิธีได้แก่
  1.การระเหย สารละลายที่ประกอบด้วยของแข็งที่ระเหยยากและตัวทำละลายที่ระเหยง่าย
  2.การใช้กรวยแยก ใช้แยกของเหลวที่ไม่รวมเป็นเนื้อเดียวกัน เช่น น้ำมันกับน้ำ
  3.การระเหิด ใช้แยกของแข็ง ซึ่งเปลี่ยสถานะเป็นแก๊สด้วยความร้อน โดยไม่ผ่านขั้นตอนเป็นของเหลว



            4. วิธีการหยิบออก ใช้แยกของแข็งที่เป็นก้อน
            5. ใช้แม่เหล้กดูด ใช้แยกสารแม่เหล็กออกจาก สารที่ไม่ใช่สารแม่เหล็ก


  
 

 
                                                                              ขอบคุณค่ะ