การแยกสารเนื้อเดียวออกจากกันมีหลายวิธี เช่น
1.
การระเหยจนแห้ง
ใช้ในกรณีที่ตัวถูกละลายเป็นของแข็งและตัวทำละลายเป็นของเหลว
หรือของแข็งละลายในของเหลว เช่น
เมื่อนำเกลือแกงซึ่งเป็นของแข็งมาละลายในน้ำจะได้ของผสมเนื้อเดียวกัน เรียกว่า
สารละลายเกลือแกง
ในกรณีที่เราต้องการแยกเกลือแกงและน้ำออกจากสาระลายเกลือแกงทำได้โดยการนำสารดังกล่าวมาให้ความร้อน
เพื่อระเหยตัวละลาย ในที่นี้คือน้ำออกไป สิ่งที่เหลืออยู่ในภาชนะคือตัวถูกละลาย
ที่เป็นของแข็งในที่นี้คือ เกลือแกง
2.
โครมาโตกราฟี (Chromatography) เป็นเทคนิคการแยกสารเนื้อเดียวออกจากกันให้เป็นสารบริสุทธิ์
โดยอาศัยหลักการที่ว่า "สารแต่ละชนิดมีความสามารถในการละลายต่างกัน และถูกดูดซับต่างกัน
จึงทำให้สารแต่ละชนิดแยกออกจากกันได้" ดังนั้นการแยกสารด้วยเทคนิคโครมาโตกราฟี
จึงต้องอาศัยสมบัติของสารดังนี้
2.1
สารต่างชนิดกันมีความสามารถในการละลายในตัวทำละลายชนิดเดียวกันได้ดี
ไม่เท่ากัน สารที่ละลายได้ดีจะเคลื่อนที่ไปได้เร็ว
2.2
สารต่างชนิดกันถูกดูดซับโดยตัวดูดซับได้ดีไม่เท่ากันสารที่ถูกดูดซับได้ดีจะเคลื่อนที่ได้ช้า
2.3
สารที่ละลายในตัวทำละลายได้ดี
และถูกดูดซับน้อยจะเคลื่อนที่ได้เร็วไปได้ไกล
2.4
สารที่ละลายในตัวทำละลายได้น้อยและถูกดูดซับมากจะเคลื่อนที่ช้าไปได้ไม่ไกล
ประโยชน์ของโครมาโตกราฟี
1.
ใช้ในการแยกสารเนื้อเดียวที่มีส่วนผสมหลาย ๆ ชนิด
ให้ได้เป็นสารบริสุทธิ์
2.
ใช้ในการวิเคราะห์หาปริมาณและชนิดของสาร
3.
ใช้ทดสอบหรือแยกสารตัวอย่างที่มีปริมาณน้อย ๆ ได้
4.
ใช้แยกสารได้ทั้งสารที่มีสีและไม่มีสี
3.
การกลั่น เป็นกระบวนการที่ทำให้ของเหลวได้รับความร้อนจนกลายเป็นไอ
ทำให้แยกตัวทำละลายและตัวถูกละลายที่ต่างก็เป็นของเหลวออกจากกันได้โโยอาศัยความแตกต่างกันของจุดเดือด
การกลั่นจะใช้ได้ผลต่อเมื่อตัวทำละลายและตัวถูกละลายเดือดที่อุณหภูมิต่างกันค่อนข้างมาก(ต่างกันอย่างน้อย
20 ๐C) เช่น การแยกน้ำจากน้ำทะเล
การแยกน้ำจากน้ำคลอง การแยกน้ำจากน้ำเกลือ หรือน้ำเชื่อม เป็นต้น
4.
การตกผลึก
เป็นกระบวนการแยกของแข็งที่ละลายในตัวทำละลายที่เป็นของเหลว
โดยทำให้สารละลายอิ่มตัวที่อุณหภูมิสูง แล้วปล่อยให้สารละลายเย็นลง
ของแข็งจะตกผลึกออกมา